วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Hor Mok Pla

            ห่อหมกปลาเป็นอาหารยอดฮิตของชาวนักชิมทั้งหลายที่แสวงหาอาหารตามใจปาก ห่อหมกปลาที่คนนิยมสั่งมารับประทานคือ ห่อหมกปลาช่อนซึ่งจะมีรสชาติเข้มข้น เนื้อปลาแน่น ไม่มีกลิ่นคาว โดยเฉพาะห่อหมกพุงปลาช่อนจะเป็นความอร่อยสุดยอดของห่อหมกและมีราคาแพงกว่าส่วนอื่นๆ


 ห่อหมกปลา

เครื่องปรุง  
1. เนื้อปลาสับละเอียด 300 กรัม
 2. กุ้งสดปอกเปลือกหั่นโตๆ 5 ตัว
 3. พริกแกงแดง 2 ชต.
 4. ไข่ไก่ 1 ฟอง 
 5.  หัวกะทิ ก. 180 มล.
 6.  น้ำปลา 1 ชต.
 7. ซีอิ๊วขาว 1 ชช.
 8. น้ำตาลทราย 1/2 ชช.
 9. หัวกะทิ ข. 75 มล.
10. แป้งข้าวจ้าว 1/2 ชต.
11.เกลือป่น 1/4 ชช.
12. พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด ผักชี สำหรับแต่งหน้า
13. กระทงใบตอง 10 กระทง
วิธีทำ
ผสมพริกแกงแดงกับไข่ไก่ คนให้เข้ากัน เทหัวกระทิ ก. ลงไปคนผสม ใส่เนื้อปลาสับลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่กุ้งหั่นชิ้น น้ำปลา ซีอิ๊วขาว และน้ำตาล คนให้เข้ากันดีแล้ว แบ่งส่วนผสมสัก 1 ช้อนชา ใส่ถ้วยเล็กเข้าไมโครเวฟประมาณ 10 วินาที ชิมรสดู หากยังไม่ได้ที่ก็ปรุงรสเพิ่มตามชอบ เสร็จแล้วก็นำไปเทใส่กระทงใบตอง นึ่งน้ำเดือดไฟแรงประมาณ 10 นาทีระหว่างนึ่งก็ผสมหัวกะทิ ข. แป้งข้าวจ้าว และเกลือป่นเข้าด้วยกัน คนจนแป้งละลายหมด นำไปตั้งไฟกลาง คนตลอดเวลาจนแป้งเริ่มสุกข้นก็ยกลงจากเตา เมื่อนึ่งครบ 10 นาทีแล้วก็ปิดไฟ ราดกะทิที่กวนไว้บนหน้าห่อหมก แต่งหน้าด้วยพริกชี้ฟ้า ใบมะกรูดหั่นฝอย และใบผักชี เรียบร้อยแล้ว


            แกงเผ็ด เป็นแกงที่โขลกด้วยพริกชี้ฟ้าแห้ง ที่ต้องใช้เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักได้แก่ เนื้อหมู ไก่ ปลา เป็นต้น ผักเป็นเพียงส่วนประกอบรอง ได้แก่ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเจ้าพระยา หน่อไม้ ยอมมะพร้าว เป็นต้น ส่วนผักที่โรยให้มีกลิ่นหอม คือ ใบโหระพาและใบมะกรูด ส่วนน้ำแกงจะใช้กะทิ ถือเป็นแกงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
สำหรับแกงเผ็ดเป็ดย่าง ถือเป็นแกงที่นิยมทำสำหรับงานเลี้ยงต่างๆ เพราะถือว่าเป็ดย่างเป็นวัตถุดิบราคาแพง ในปัจจุบันมีผู้เรียกแกงเผ็ดว่า แกงแดง หรือ แกงเผ็ดแดง ซึ่งเป็นการเรียกที่ผิด เพราะเรียกตามสีของน้ำแกง ที่ถูกต้องควรเรียกว่าแกงเผ็ด
       แกงเผ็ดเป็ดย่าง                                                       
ส่วนผสม

เป็ดย่าง                                                                                          250 กรัม

หัวกะทิ                                                                                          1/2ถ้วยตวง
หางกะทิ                                                                                         3 ถ้วยตวง

สับปะรดหั่นชิ้นพอคำ                                                                1/2 ถ้วยตวง
มะเขือเทศสีดา                                                                              5 ลูก
องุ่นม่วง                                                                                         10 ลูก
มะเขือพวง                                                                                     20 ลูก
ใบโหระพาเด็ดใบ                                                                       1/2 ลูก
พริกชี้ฟ้าสีเขียว, สีแดง หั่นเฉียง                                               2 เม็ด
ใบมะกรูดฉีก                                                                                 3 ใบ
น้ำปลา                                                                                            2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ                                                                                      1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมเครื่องแกง
พริกชี้ฟ้าแดง        10 เม็ด
ตะไคร้ซอย           1 ช้อนชา
กระเทียมซอย       1 1/2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย        1 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูดซอย      1/2 ช้อนชา
รากผักชีซอย         1 ช้อนโต๊ะ
ลูกผักชีคั่วป่น       1 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น           1/2 ช้อนชา
กะปิ                           1 ช้อนชา
เกลือป่น                1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. โขลกส่วนผสมเครื่องแกงทั้งหมดให้ละเอียด
2. นำหัวกะทิเคี่ยวให้แตกมันไฟปานกลาง นำเครื่องแกงลงผัดให้หอม
3. ใส่เป็ดย่าง ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ตักใส่หม้อหางกะทิ
4. ตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวให้เข้าเนื้อสักครู่
5. ใส่สับปะรด มะเขือพวง องุ่นม่วง มะเขือเทศสีดา คนให้สุกทั่ว
6. ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียง ใบมะกรูดและใบโหระพา ปิดไฟยกลงตักใส่ชาม


ที่มา: นิตยสารชีวจิต

Coconut layers sweet

       ขนมไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอย่างหนึ่ง ด้วยมีกลิ่นหอม และมีรสชาติกลมกล่อม และหนึ่งในขนมไทยที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด คือ บัวลอย-ไข่หวาน เพราะบัวลอย-ไข่หวาน เป็นขนมที่ทำง่าย รสชาติอร่อย มากด้วยคุณค่าทางอาหาร 

                                                                                                                                                           ขนมบัวลอยไข่หวาน
   ส่วนผสม
 1. หางกะทิ 1 1/2 ถ้วย
2.เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
3. น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
5. เผือกปอกเปลือกหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
6. ไข่ไก่ 3 ฟอง
7. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
 8. เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/4 ถ้วย

วิธีทำ
เมื่อนวดแป้งเสร็จแล้วก็มาปั้นบัวลอย แบ่งแป้งประมาณครึ่งหนึ่งของทุกสีมาปั้นเป็นเม็ดกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/2 ซม. โรยแป้งมันบางๆ บนเม็ดบัวลอยกันแป้งติดกัน
แป้งส่วนที่เหลือ นำมาปั้นเป็นบัวลอยแฟนซีหลากสี วิธีปั้นแป้งแต่ละสีเป็นแท่งผอมๆ ยาวๆ หนาประมาณ 1/2 ซม. แล้วนำทั้งสองสีมาประกบกัน แบ่งปั้นเป็นเม็ดกลมๆ จะได้บัวลอยแฟนซีหลากสีสัน
นำหางกะทิ น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลทรายใส่หม้อตั้งไฟกลางต้มจนเดือด แล้วใส่เม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้ต้มจนเม็ดบัวลอยสุกลอยขึ้นมา ใส่เผือกที่หั่นไว้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไปต้มประมาณ 5-6 นาทีจนไข่สุก ใส่หัวกะทิต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟ ชิมรสตามชอบ ใส่มะพร้าวอ่อนลงไป




                      
               ขนมชั้นดอกกุหลาบในตะกร้าสวยหวานมอบเป็นของขวัญให้คนที่คุณรักได้ในทุกเทศกาล  เช่น  วันเกิด วันปีใหม่  วันวาเลนไทน์  เทศกาลตรุษจีน  สาร์ทจีน  และเทศกาลอื่นๆ นอกจากนั้นบ้านขนมสวยยังมี ขนมชั้นหลากสี  หลากรส  มีขนมชั้นใบเตย  ขนมชั้นดอกอัญชัน  ขนมชั้นดอกคำฝอย  และขนมชั้นกาแฟ ซึ่งได้จากการคั้นน้ำของดอกไม้ใบไม้แต่ละชนิดมาใส่เป็นสีของขนมชั้น ส่วนขนมชั้นรสกาแฟก็ได้จากการนำผงกาแฟมาใช้   ไม่ได้ใส่สีสังเคราะห์เจือปน สำหรับสีชมพูของดอกกุหลาบได้จากการนำสีที่ใช้ผสมในอาหาร 


ขนมชั้นกุหลาบ
ส่วนผสม
1. แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม
2. แป้งมัน 100 กรัม
3. น้ำตาลทราย 180 กรัม
4. น้ำกะทิ 500 มล.
5. น้ำสะอาด 50 มล.
6. น้ำใบเตยคั้นข้นๆ 50 มล.
7. ถาดหรือพิมพ์สำหรับใส่ขนมทาน้ำมันพืชบางๆ ให้ทั่ว

วิธีทำ


ใส่น้ำตาลทรายและน้ำกะทิในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟคนพอน้ำตาลละลายและเดือดก็ปิดไฟ พักไว้ให้อุ่น จากนั้นเทแป้งทั้งสองชนิดใส่ชามผสม ตักหัวกะทิจากหม้อมาใส่แป้งนวดจนเป็นก้อน แล้วค่อยๆ เทกะทิที่ยังอุ่นอยู่ใส่แป้งทีละน้อยจนกะทิหมด นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที แล้วจึงแบ่งส่วนผสมออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใส่น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน อีกส่วนหนึ่งใส่น้ำใบเตยคนให้เข้ากัน นำรังถึงใส่น้ำขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำเดือดวางถาดที่จะใช้นึ่งลงไป นึ่งถาดพอร้อนค่อยตักแป้งสีเขียวลงไปบางๆ 1 ชั้น ปิดฝานึ่งประมาณ 5 นาทีจนแป้งสุกใสจึงหยอดแป้งสีขาวทับลงไปนึ่งต่อ 5 นาที ทำสลับสีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 9 ชั้น


ที่มา: หนังสือเครื่องปรุงในอาหารไทย

Health Juices

                น้ำผักและผลไม้ถือเป็นเครื่องดื่มสุขภาพชั้นยอด  ไม่ต้องสรรหามาด้วยราคาอันแสนแพง เพราะบ้านเราอุดมไปด้วยพืชผัก ผลไม้นานาชนิด ที่มีสีสัน และรสชาติที่แตกต่างกัน คำว่า
น้ำผักและผลไม้ ในที่นี้มีสองชนิดคือ น้ำที่ได้จากผัก และผลไม้สด ซึ่งมีทั้งแบบคั้นเอาแต่น้ำกับน้ำที่เกิดจากการต้มผักและผลไม้เพื่อให้เกิดกลิ่น และรสที่เข้มข้น กับแบบที่ปั่นรวมเนื้อผักผลไม้เข้าไปด้วย
                ในผักและผลไม้ มีคุณค่าอาหารต่างๆโดยเฉพาะวิตามิน เกลือแร่ มีอยู่มากเป็นพิเศษ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี มีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันสารก่อมะเร็ง ทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์
                ส่วนเกลือแร่ที่มีอยู่ในผัก ผลไม้ ช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายสมบรูณ์ ได้แก่ โพแทสเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม ซัลเฟอร์ แมกนีเซียม โซเดียม และซีลีเนียม นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโน เป็นโปรตีนที่ถุกย่อยจนเล็กที่สุด ยังมีเอนไซม์ช่วยย่อย ช่วยสร้างเซลล์ มีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยสร้างและรักษาเม็ดเลือดแดงอีกด้วย 

Vegetable Juices
กระเจี๊ยบ : roselle
คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
กระเจี๊ยบอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ กรดซิตริก และเกลือแร่ชนิดต่างๆ เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยขับน้ำออกจากร่างกายเนื่องจากไตทำงานผิดปกติ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยลดความดันโลหิตสูง
แก้กระหาย ช่วยให้อุณหภูมิร่างกายลดลง แก้ไอ ขับเสมหะ

น้ำกระเจี๊ยบ

ส่วนผสม
กระเจี๊ยบสด   150  กรัม
น้ำ                   4     ถ้วย
น้ำตาลทราย    ¼    ถ้วย
เกลือป่น          ½    ช้อนชา
น้ำแข็งชนิดก้อน
กระเจี๊ยบสำหรับตกแต่ง








วิธีทำ
ล้างกระเจี๊ยบ เด็ดเฉพาะกลีบเลี้ยง ใส่น้ำลงในหม้อ ใส่กลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบ ต้มด้วยไฟกลางจนเดือดประมาณ 30-40 นาที หรือจนกลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบเปื่อยมีสีซีด ยกลง กรองเอากากออก ใส่น้ำตาลและเกลือ ต้มต่อสักครู่พอน้ำตาลละลาย ปิดไฟ ยกลง ปล่อยให้เย็น รินใส่แก้วน้ำแข็ง ตกแต่งด้วยดอกกระเจี๊ยบสดดื่มทันที

Fruit Juices
บลูเบอร์รี :  bluebeery
คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
ผลไม้สุขภาพที่มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยบำรุงเส้นเลือดฝอย ทำให้ร่างกายสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงปลายประสาทที่มือและเท้าได้ดี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูงมาก ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ชะลอความแก่ ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยป้องกันโรคปัสสาวะอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ทำให้ความจำดีด้วย ช่วยให้ไตทำงานได้ตามปกติ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง บำรุงฟันและกระดูก 

สมูทบลูเบอร์รี
ส่วนผสม
บลูเบอร์รีในน้ำเชื่อม      1   ถ้วย
โยเกิร์ตธรรมชาติ           1   ถ้วย
นมสวดชนิดพร่องมันเนย   ¼  ถ้วย
น้ำส้มเขียวหวานคั้น       1   ถ้วย
วิปปิ้งครีม         3    ช้อนโต๊ะ
ผลบลูเบอร์รีในน้ำเชื่อมสำหรับตกแต่ง


วิธีทำ
ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้ว แล้วบีบวิปปิ้งครีมใส่แก้วละ 1 ช้อนโต๊ะ ตกแต่งด้วยผลบลูเบอร์รีในน้ำเชื่อม ดื่ม


ที่มา: หนังสือน้ำผักผลไม้

Health Cake

                เค้กเป็นผลิตภัณฑ์เบเกอรีที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคตลอดมา ส่วนประกอบหลักของเค้กประกอบด้วย นม เนย แป้ง ไข่ น้ำตาล ซึ่งเป็นส่วนที่ใหเพลังงานสูง เค้กแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
 เค้กเนย เค้กชิฟฟอน และเค้กสปันจ์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
      1.     เค้กเนย มีส่วนประกอบของไข่เป็นหลัก จะมีเนื้อละเอียด นุ่ม มีรสหวาน มัน
      2.     เค้กสปันจ์ เป็นเค้กที่มีส่วนประกอบของไข่เป็นหลัก จะมีเนื้อเบาฟูนุ่มมากกว่าเค้กเนย                            
             ขึ้นฟูด้วยการตีไข่ทั้งฟองให้เก็บอากาศ ทำให้เนื้อเค้กเบานุ่ม
      3.     เค้กชิฟฟอน เป็นเค้กที่มีส่วนผสมของเหลวและส่วนผสมมาจากการตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูมาผสมกัน จะได้เค้กที่มีลักษณะโปร่งเบานุ่มนวลมากกว่าเค้กทั้งสองชนิด และมีปริมาณไขมันในส่วนผสมค่อนข้างน้อย

·  บีตรูต
  ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Betavulgaris เป็นผักเมืองหนาว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จัดเป็นหัวผักกาดอยู่ใต้ดิน รูปร่างกลมป้อม เปลือกดำ เนื้อสีแดงเลือดหมูหรือม่วงแดง เมื่อปลอกสีจากเนื้อจะติดมือ การเลือกบีตรูตควรเลือกบีตรูตสดๆ คือผิวไม่เหี่ยว เมื่อจับดูเนื้อไม่นิ่ม วิธีรับประทาน คือ ล้างให้สะอาด ปอกเปลือก ผ่าครึ่งลูก และล้างด้วยน้ำเกลือเจือจาง จะช่วยให้สีของ
บีตรูตไม่ตกมาก
      คุณค่าอาหารและสรรพคุณ
                เนื้อของบีตรูตอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด อาทิ วิตามินเอ วิตามินบีรวม แคลเซียม ตลอดจนเบตานิน(Batanin) หรือสารสีแดงในหัวบีตรูต ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น



               


 เค้กบีตรูต
ส่วนผสม
แป้งเค้ก                            200  กรัม
แป้งข้าวโพด                       30  กรัม
น้ำตาลทราย                    160   กรัม
เกลือป่น                            ¼    ช้อนชา
ไข่ไก่                                  8    ฟอง
เนยสดชนิดเค็มละลาย    100   กรัม
โอวาเล็ต                           20   กรัม
น้ำหอมกลิ่นนมเนย             1   ช้อนชา
วานิลลาชนิดผง                ½    ช้อนชา
ผงฟู                                  10   กรัม
น้ำบีตรูต                           50   กรัม
นมผง                               20   กรัม

วิธีทำ
1.       ร่อนแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด ผงฟู ผงวานิลลา และเกลือเข้าด้วยกัน จากนั้นใส่น้ำตาลทรายและนมผงลงไปเคล้าพอเข้ากัน พักไว้
2.       ใส่ไข่ น้ำบีตรูต และส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ลงในอ่างผสม ใช้พายยางคนผสมพอเข้ากันเติมโอวาเล็ต ตีผสมด้วยหัวตีรูปตระกร้อ โดยใช้ความเร็วต่ำประมาณ 1 นาที และใช้ความเร็วสูงสุดอีกประมาณ 5 นาที เติมเนยสดและกลิ่นนมเนยแล้วคนให้เข้ากัน
3.       เทส่วนผสมเค้กลงพิมพ์ที่เตรียมไว้ เกลี่ยหน้าให้เรียบเสมอกัน นำเข้าตู้อบ ใช้ไฟล่างอุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ อบประมาณ 25-30 นาที หรือจนกระทั่งสุก จากนั้นคว่ำออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็นสนิท

ที่มา : หนังสือเค้กสุขภาพ

Ice Cream for everyone


ไอศกรีม หรือชื่อที่คนไทยโดยทั่วไปชอบเรียกกันว่า ไอติมเป็นของหวานชนิดหนึ่งที่ต้องนำไปแช่แข็งก่อนจึงจะนำมารับประทานได้  ซึ่งไอศกรีมนี้จะมีการส่วนผสมต่างๆ  ก่อนจะนำไปผ่านการฆ่าเชื้อ  จากนั้นจึงนำไปปั่นที่เย็นจัดเพื่อให้อากาศเข้าไปพร้อมๆกัน กับการลดอุณหภูมิให้เย็นลงเรื่อยๆ  ซึ่งไอศกรีมนี้ก็หลากหลายรสชาติให้เลือกรับประทานหรืออาจจะเติมส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปในระหว่างการผสมด้วยก็ได้  โดยส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ประจำฤดูกาล  เพื่อให้รสชาติของไอศกรีมกลมกล่อมขึ้น


ครั้งแรกของไอศกรีมกับประเทศไทย
จากประวัติศาสตร์ไอศกรีมในประเทศไทยนั้น ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับไอศกรีมโดยตรง แต่มีความเกี่ยวโยงเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รู้จักกับน้ำแข็ง ซึ่งถูกนำเข้ามาสู่ดินแดนสยามประเทศครั้งแรกในสมัยนั้นโดยเรือกลไฟที่มาจากประเทศสิงคโปร์
                ประเภทของไอศกรีม
ไอศกรีมนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิดในปัจจุบัน ซึ่งเราพอจะแบ่งชนิดของไอศกรีมได้ดังนี้

1.       Ice cream

2.       Frozen Custard ,French Ice Cream หรือ French Custard Ice Cream
3.       Low Fat Ice Cream
4.       Gelato
5.       Soft Serve
6.       Fruit Sherbet
7.       Sorbet
8.       Frozen Yogurt
9.       Granite
10.    Water Ice





ไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี


ส่วนผสม

นมสด                    300     กรัม
วิปครีม                  700      กรัม
สตรอว์เบอร์รีสด
บดละเอียด             500     กรัม
น้ำตาลทราย           350     กรัม
กลูโคส (แบะแช)     40     กรัม
ผงไอศกรีม               1       ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหารสีชมพู
กลิ่นสตรอว์เบอร์รี






วิธีทำ
1.       ผสมนมสด กลูโคส ยกขึ้นตั้งไฟพอส่วนผสมละลายเข่ากัน ยกลงใส่ผงไอศกรีม
พักไว้ให้เย็น
2.       ตีวิปครีมกับน้ำตาลทรายให้ฟู ใส่ส่วนผสมในข้อที่ 1  ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน
เทใส่กล่องปิกฝา
3.       นำเข้าตู้เย็นช่องธรรมดาประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือให้ส่วนผสมเย็นจัด
4.       นำส่วนผสมไอศกรีมออกจากตู้เย็น ใส่สีผสมอาหาร กลิ่นสตรอว์เบอร์รี
 และเนื้อสตรอว์เบอร์รี เทใส่ถังไอศกรีมปั่นจนไอศกรีมแข็งตัว ตักใส่ภาชนะนำเข้าตู้แช่แข็ง
ให้ส่วนผสมแข็งตัวยิ่งขึ้นก่อนนำออกเสิร์ฟ

ที่มา : หนังสือ Ice Cream